เอาล่ะและนี่คือ memo หรือบันทึกช่วยจำถ้าคุณจะต้องทำให้ Jekyll กับ GitHub Pages มาอยู่ด้วยกัน - แบบไหนนะเหรอ? นั่นคือสิ่งที่เราหมายถึงว่า website ถูกสร้างขึ้นมาด้วย Jekyll แล้วก็เอาไป host ไว้บน GitHub Pages
และจากย่อหน้านี้ก็คือการเริ่มกันซะที - หลังจากที่ได้ทำการติดตั้ง Jekyll ลงบนเครื่องของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนที่ 1 (PC Ubuntu): สร้าง Jekyll local site
# สร้าง Jekyll site: ./sdeesreallife.github.io (ชื่อองค์กรตามด้วย.github.io)
$ jekyll new sdeesreallife.github.io
# เปลี่ยน path ไปที่: sdeesreallife.github.io
$ cd sdeesreallife.github.io
# สั่งให้ Jekyll ทำการ build site บน local server
$ bundle exec jekyll server
# เปิด browser ไปที่: http://localhost:4000
ขั้นตอนที่ 2: สร้าง Repository บน GitHub
Login เข้าใช้งาน GitHub
คลิกที่รูป Profile ของเรา แล้วเลือก Your Profile
สร้าง Repository ขึ้นมาใหม่ในชื่อเดียวกับชื่อองค์กรตามด้วย.github.io
https://github.com/sdeesreallife/sdeesreallife.github.io
ขั้นตอนที่ 3: Commit local site ไปที่ GitHub (PC Ubuntu)
$ cd sdeesreallife.github.io
$ git init
$ git remote add origin https://github.com/sdeesreallife/sdeesreallife.github.io
$ git add .
$ git commit -m "initial commit of the Jekyll's site template."
$ git push -u origin master
# เปิด browser ไปที่:https://sdeesreallife.github.io
Tips and Tricks
เพื่อให้การใช้งาน Jekyll บน loacl site สะดวกขึ้นอีกนิด เราจะใช้ Plugin Jekyll::Livereload ร่วมด้วย
ขั้นตอนการติดตั้ง: เพิ่มบรรทัด gem 'jekyll-livereload'
ในไฟล์ Gemfile และสั่ง bundle
group :jekyll_plugins do
gem "jekyll-feed", "~> 0.6"
gem "jekyll-livereload" # เพิ่มบรรทัดนี้ลงไป
end
$ bundle
ขั้นตอนการรัน: ใช้คำสั่ง jekyll serve --livereload
หรืออีกแบบที่เพิ่มการแสดง posts ที่เป็น drafts ให้ด้วย bundle exec jekyll serve --drafts --livereload
- ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกครั้งที่เราแก้ไข local site ต่อไปนี้ Jekyll จะทำการ auto regenerated และเพิ่มการ reload หน้าเว็บให้ด้วยเลย :)